วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

การเลี้ยงกบ(ข้อมูลจากอบอ๊บฟาร์มสุพรรณบุรี)

กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่ต้องให้ความใส่ใจในการเลี้ยงดูพอสมควร โดยนิสัยหลักๆที่พอจะสรุปได้ คือ
1. กบชอบอยู่ในที่ชื้นแฉะมีน้ำขัง มากกว่าอยู่ในน้ำตลอดเวลา แต่ไม่ชอบที่แห้งๆ
2. กบชอบอากาศที่อบอุ่น มากกว่าอากาศหนาวเย็น
3. กบชอบอาศัยอยู่ในที่สะอาด และไม่มีศัตรู เช่น นก หรือ งู
4. กบจะตกใจง่าย ขี้หวาดกลัว และกระโดดหนีอย่างรุนแรง ถ้าตกใจมากๆ
5. กบไม่ชอบอยู่ในที่ ที่มีเสียงดังมาก หรือมีควันไฟ
6. กบมักจะเปลี่ยนสีผิวหนังไปตามสีของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย
7. กบจะกินอาหารน้อยลงหรือจำศีล เมื่ออาการเย็น ทำให้เลี้ยงโตช้าช่วงหน้าหนาว
8. ถ้าน้ำที่ใช้เลี้ยงไม่ดีพอ จะสังเกตเห็นเมือกเหนียวที่กบจะปล่อยออกมาเพื่อเครือบผิวหนังป้องกันเชื้อโรคและน้ำที่มากัดผิวหนัง เป็นผลให้น้ำเน่าเหม็นคาวอย่างรวดเร็ว
9. ช่วงต้นฤดูฝนใหม่ๆ กบจะเป็นโรคต่างๆได้ง่าย เช่น โรคตาขาว โรคกระแตเวียน โรคปากแดง โรคเป็นแผลพุพอง จึงต้องระวังในการเลี้ยงเป็นพิเศษ และให้ยาตามความเหมาะสม
เมื่อเราพอที่จะทราบอุปนิสัยของกบกันไปคร่าวๆแล้ว คราวนี้เราจะต้องมาคิดกันต่อไปว่า ถ้าเราจะเริ่มเลี้ยงกบเราจะต้องทำอย่างไรให้สถานที่สำหรับใช้เลี้ยงกบนั้นเป็นสถานที่ที่กบชอบอยู่ เพราะถ้าทำได้ผลที่ตามมาคือ กบแข็งแรง โตไว ไม่เป็นโรค ไม่ต้องใช้ยารักษาให้สิ้นเปลืองต้นทุน ทำให้กบมีชีวิตรอดจนถึงจับขายได้ในอัตราที่สูง และจำหน่ายได้ราคาดี
สิ่งที่เกษตรกรต้องคำนึงและเตรียมตัวก่อนเลี้ยงกบ มีขั้นตอนสรุป ดังนี้
1. ต้องศึกษาหาความรู้เบื้องต้นในการเลี้ยงกบจากฟาร์มกบโดยตรงหรือผู้ที่เลี้ยงกบอยู่แล้ว อย่าอาศัยแค่อ่านจากเว็ปหรือหนังสือ เพราะการปฏิบัติจริงต้องละเอียดอ่อนกว่ามากๆ (การเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นงานที่ยุ่งยาก ลำบาก และต้องมีเวลาดูแลเอาใจใส่ตลอดทั้งวัน ต้องหมั่นสังเกตอาการ ตลอดเวลา ถ้ารู้ช้าจะเสียหายเกือบทั้งหมด และขาดทุนในที่สุด)
2. กำหนดต้นทุนที่จะใช้เลี้ยงและเงินหมุนเวียนต่อเดือน โดยให้แบ่งดังนี้
2.1 เงินค่าสิ่งปลูกสร้างและทำสถานที่ใช้เลี้ยง
2.2 เงินค่าลูกพันธุ์กบ ราคาลูกพันธุ์กบเฉลี่ยตัวละ 1 – 2 บาท (อย่าซื้อตัวเล็กมากๆ เพราะเลี้ยงไม่ค่อยรอด แม้ราคาจะถูกกว่านี้ก็ตาม ทำให้เสียกำลังใจ)
2.3 เงินค่าอาหารกบ เพื่อเลี้ยงจนจับขายได้ ใช้ระยะเวลาเลี้ยง 2 – 2.5 เดือน(ถ้าใช้ลูกพันธุ์กบอายุ 45 วัน ขึ้นไป)
2.4 เงินค่ายารักษาโรค จะใช้มากถ้าระบบน้ำที่ใช้เลี้ยงไม่ค่อยดี และช่วงต้นฤดูฝน


ต้นทุนการเลี้ยงกบ เพื่อให้ได้กบโตขนาด 4 ตัว/กก. จำนวน 1 กก. เพื่อจำหน่าย (คิดให้แบบเฉลี่ยๆนะครับ)
- ค่าลูกพันธุ์กบ 4 ตัว เป็นเงิน 4 x 1 = 4 บาท ( ต้นทุนการเพาะพันธุ์ลูกกบ เพื่อเลี้ยงเอง คลิ๊กดูที่นี่ )
- ค่าอาหารกบประมาณ 1 กก. เป็นเงิน 1 x 25 = 25 บาท (ถ้าใช้ลูกพันธุ์ราคาตั้งแต่ 2 บาทขึ้นไป ค่าอาหารจะลดลงอีกเล็กน้อย)
ดังนั้น รวมต้นทุน เป็นเงิน 4 + 25 = 29 บาท/กบโต 1 กก. (ไม่รวมค่าแรง ค่าอุปกรณ์และค่าบริหารจัดการ)
ฉะนั้น ถ้าท่านเลี้ยงกบ จำนวน 1,000 กก. สมมุติจับขายที่ราคา 45 บาท/กก. โดยใช้เวลาประมาณ 2.5 เดือน
ท่านจะได้กำไร เป็นเงิน (45 – 29) x 1,000 = 16,000 บาท เฉลี่ย 6,400 บาท/เดือน
สรุป เลี้ยงกบขายปัจจุบันมีต้นทุนเฉลี่ย 24 – 29 บาท/กบโต 1 กก.
(กำไรขึ้นอยู่กับราคาขายที่พ่อค้าคนกลางที่รับซื้อ แต่ถ้าขายปลีกในระแวกบ้านจะได้ราคาดีกว่ามากๆครับ)
ดังนั้น อย่าคาดหวังรายได้จากการเลี้ยงกบ ให้มากนัก เพราะถ้าคุณคำนวณเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรง ค่ายารักษาโรค ให้ดีคุณอาจจะพบว่าคุณแค่มีงานทำ คือ “ได้เลี้ยงกบ” แต่คุณแทบจะไม่ได้กำไรอะไรเลย จึงฝากไว้เป็นข้อคิดก่อนที่จะตัดสินใจเลี้ยงนะครับ ผมคนจริงใจก็บอกกันไปตรงๆแบบนี้ เพาะว่ามันเหมาะกับผู้ที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้วและเลี้ยงกบเป็นอาชีพเสริม หากมีกบเหลือมากๆก็จำหน่ายพันธุ์ลูกกบและกบโตให้พ่อค้าคนกลางครับ


3. เลือกรูปแบบการเลี้ยงให้เหมาะสมกับพื้นที่และระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
หากคุณกำลังจะให้คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้เลี้ยงมีอายุมาก ช่วยเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพเสริมทางฟาร์มแนะนำให้คุณใช้กระชังบนดินเป็นทางเลือกแรก เพราะปลอดภัยที่สุด (บ่อดิน และบ่อปูน จะเสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด จมน้ำเสียชีวิตได้ เพราะอาจต้องใช้สะพานเดินลงไปให้อาหารภายในบ่อ(ถ้าบ่อใหญ่ๆ)
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
4. หาฟาร์มกบ ที่จำหน่ายพันธุ์ลูกกบ ในบริวเณใกล้เคียง เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายลูกกบ ให้มากที่สุด แต่อย่าโทรสั่งทางโทรศัพท์ ให้ลองแวะไปดูขนาดหรือของจริงก่อนซื้อจะดีและคุ้มค่าที่สุดครับ (เสียเวลาเสียน้ำมัน ดีกว่าได้ของไม่ดีหรือย้อมแมวนะครับ)
5. ผู้เลี้ยงต้องพร้อมและมีเวลาพอสมควรเพราะการเลี้ยงกบเพื่อขายต้องหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ หมั่นคัดขนาดลูกกบ เพื่อป้องกันกบเป็นโรคและกัดกินกันเอง
6. ยังไม่ต้องกังวลเรื่องสายพันธุ์กบมากนัก ให้ไปซื้อลูกพันธุ์จากฟาร์มใดก็ได้มาทดลองเลี้ยงดูก่อน เพราะว่าทุกฟาร์มย่อมมีสายพันธุ์กบที่ตลาดต้องการอยู่แล้ว (ถ้าสายพันธุ์ของเขาไม่ดีจริงๆ เขาคงไม่กล้าเลี้ยงเยอะๆไว้เพื่อขายหรอกครับ)
7. ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการตลาดและที่ขายจนเกินไป เนื่องจากสินค้าเกษตรต้องผลิตให้ได้ก่อน จึงจะเสนอขายได้ เพราะผู้ซื้อต้องเห็นสินค้าก่อนซื้อไปบริโภค (เลี้ยงไม่ถึง 500 กก. แนะนำให้ขายในพื้นที่ใกล้เคียง เลี้ยงมากกว่านี้จะมีพ่อค้าคนกลางไปซื้อที่หน้าฟาร์มของท่านเองนะครับ) ประเทศเรามีผู้บริโภคกบอยู่ทั่วไปครับ ขายได้แน่นอน
8. การเลี้ยงกบจะเริ่มช่วงเดือนใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นช่วงที่ราคาดีๆ เพราะถ้าท่านเริ่มเลี้ยงใหม่ๆโอกาสที่จะเลี้ยงรอดและได้ราคาดีตามช่วงที่ท่านคาดไว้ก็มีไม่มากหรอกครับ ดังนั้นให้คิดว่าเริ่มวันนี้ เริ่มไว เลี้ยงได้เลี้ยงรอดเร็วก็จะได้ขายราคาดีในรอบต่อๆไปครับ (ช่วงหน้าฝนใหม่ๆ กบจะมีราคาถูกที่สุดครับ จากนั้นจะเริ่มขึ้นจนถึงก่อนฤดูฝนถัดไป)
9. อย่าทุบหม้อข้าวหม้อแกง แบบรอรายได้จากการเลี้ยงกบเท่านั้น ท่านต้องมีอาชีพอื่นๆทำควบคู่ไปก่อน เพราะอาชีพเกษตรจะยากตรงที่เราควบคุมธรรมชาติ ไม่ได้ คาดเดายากครับ
10. อย่าท้อแท้เมื่อเลี้ยงครั้งแรกๆแล้วพบว่ากบตายไปมาก เพราะเป็นปกติที่การเริ่มเลี้ยงในระยะแรกๆจะต้องไม่มีผลกำไร ให้ลงทุนต่อไปและแก้ไขปัญหาต่างๆที่พบโดยปรึกษาผู้รู้หรือผู้ที่เลี้ยงกบมาก่อน
11. ผู้ที่เริ่มเลี้ยงแนะนำให้หาซื้อลูกพันธุ์กบมาทดลองเลี้ยงสัก 1 ปี ก่อน แล้วค่อยหาพ่อแม่พันธุ์กบมาเพาะเองต่อไป จะคุ้มค่าเงินและเวลามากกว่า
12. ราคาที่พ่อค้าคนกลางรับซื้อกบที่หน้าฟาร์มส่วนใหญ่ต่ำสุดที่ 23 บาท/กก. สูงสุดที่ 65 บาท/กก. และขายปลีกตามท้องตลาดต่ำสุดที่ 60 บาท/กก. สูงสุดที่ 130 บาท/กก. สำหรับพื้นที่ภาคกลาง ส่วนภาคอื่นๆราคาส่วนใหญ่สูงกว่าภาคกลางเฉลี่ย 10 – 20 บาท/กก. (ผมรวบรวมข้อมูลจากที่ผมได้เคยสอบถามจากคนที่พอรู้จักกันมาครับ โดยราคาต่ำสุดมักอยู่ในเดือน กรกฎาคม และสูงสุดที่ปลายๆเดือนเมษายน ของทุกปีครับ) ดังนั้นท่านต้องคำนวณต้นทุนการเลี้ยงดีๆก่อนตัดสินใจเริ่มเลี้ยงกบครับ


มีการรับซื้อกบคืนจริงๆ หรือกลลวงกันแน่?
มีบางที่ ที่อาจจะบอกหรือรับปากกับท่านว่าเขารับซื้อคืนแน่นอน โดยให้ราคาเท่าโน้นเท่านี้ ถ้าซื้อลูกพันธุ์จากเขาไป ท่านจงคิดใตร่ตรองให้มากๆ ว่าท่านเลี้ยงมากน้อยเพียงใด และอยู่ไกลจากฟาร์มนั้นๆเท่าใด แล้วเขาจะยอมเสียเวลา เสียน้ำมันวิ่งมารับซื้อกบจำนวนเพียงไม่กี่กิโลกรัมกลับไปอย่างที่ว่าไว้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เขาจะรู้ว่าถ้าขายให้ท่านไปแล้ว(ขาจร หรือ คนเลี้ยงหน้าใหม่ๆ) ท่านมักจะมาซื้อซ้ำอีกไม่เกิน 2 ครั้ง (บางทีอาจถูกยัดกบที่มีปัญหาปนมาให้ท่านอีกด้วย) บางแห่งก็แค่พูดๆไปเพื่อให้ขายได้เท่านั้นก็มี ท่านต้องระวังและคิดทบทวนอย่างรอบคอบก่อนซื้อนะ เพราะมีหลายท่านถามมาและบ่นให้ผมฟังประจำว่ามีเจอผู้ขายแนวนี้เยอะ จึงเตือนไว้ล่วงหน้า สังเกตง่ายๆ ถ้าเป็นผู้ที่ผลิตลูกอ๊อดเองจะต้องมีพ่อแม่พันธุ์ และบ่ออนุบาลลูกอ๊อด ไม่ใช่มีแค่บ่อพักลูกกบเล็กไว้รอขายต่ออย่างเดียว


การเริ่มต้นเลี้ยงผู้เลี้ยงจะต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญๆ ได้แก่
1. ราคาขาย เมื่อกบโตได้ขนาด
ซึ่งปกติราคากบจะสูงในช่วง ปลายๆพฤศจิกายน – กลางพฤษภาคม ของทุกปี ดังนั้นกว่าที่เราจะขายกบได้ต้องเลี้ยงประมาณ 2 – 3 เดือน จึงต้องกะเวลาให้โตพร้อมขายในช่วงนี้ครับ
2. โรคที่เกิดจากกบ
จากประสบการณ์ พอจะสรุปได้ว่า กบจะเป็นโรคมากในเดือน กรกฏาคม – ตุลาคม อันเนื่องมาจากเป็นหน้าฝน เช่น โรคตาขาวขุ่น กระแตเวียน แผลพุฟอง ขาแดง ปากแดง ซึ่งสาเหตุที่เกิดจะยังไม่ชี้แจงเพราะประเด็นคือ ถ้าผู้เริ่มเลี้ยงยังไม่มีประสบการ์มากนักจะทำให้ท้อได้หากเริ่มเลี้ยงกบในช่วงนี้ และเกิดเป็นโรคขึ้น
3. แหล่งที่มาของลูกกบ แบ่งเป็นจะเพาะลูกเอง หรือหาซื้อลูกกบจากที่อื่นๆมาเลี้ยง
3.1 การเพาะลูกกบจะสำเร็จได้ง่าย(กบไข่ง่ายกว่า)ในช่วง กรกฏาคม – ตุลาคม
3.2 หาซื้อลูกกบมาเลี้ยง ช่วงกรกฏาคม – ตุลาคม ราคาลูกกบจะถูกกว่าช่วงอื่นๆ แต่ราคาจำหน่ายกบโตก็จะต่ำตามไปด้วย เช่น 25 ถึง 32 บ./กก.
ดังนั้นสรุปเป็นสูตรง่ายๆ ดังนี้ครับ
1.กรณีซื้อลูกกบจากที่อื่นๆมาเลี้ยง
1.1 เริ่มเลี้ยง ช่วงต้นฤดูหนาวหรือปลายฝน – เดือนกุมภาพันธ์
ข้อดี คือ เมื่อกบโตจะขายได้ราคาดีกว่า + โอกาสกบเป็นโรคอาจจะต่ำกว่า
ข้อเสีย คือ ลูกพันธุ์ราคาจะค่อนข้างสูง + ถ้าหนาวๆกบจะไม่ค่อยโตและตายเยอะ
1.2 เริ่มเลี้ยง ช่วงต้นฤดูฝน – เดือนกันยายน
ข้อดี คือ ลูกพันธุ์ราคาจะถูกกว่า + ลูกพันธุ์จะหาง่าย
ข้อเสีย คือ เมื่อกบโตจะขายได้ราคต่ำ + โอกาสกบเป็นโรคอาจจะสูงที่สุด
2.กรณีซื้อพ่อแม่พันธุ์กบมาเพาะลูกกบเอง
2.1 เริ่มเลี้ยง ช่วงต้นฤดูหนาวหรือปลายฝน – เดือนกุมภาพันธ์
ข้อดี คือ หากเพาะลูกได้จะสามารถขายลูกกบได้ในราคาสูง + เมื่อกบโตจะขายได้ราคาดีกว่า + โอกาสกบเป็นโรคอาจจะต่ำกว่า
ข้อเสีย คือ หากมือใหม่ก็ยากที่จะเพาะพันธุ์ได้สำเร็จง่ายๆ + ถ้าหนาวๆลูกอ๊อดจะไม่ค่อยโตและตายเยอะ
2.2 เริ่มเลี้ยง ช่วงต้นฤดูฝน – เดือนกันยายน
ข้อดี คือ การเพาะพันธุ์ลูกกบจะสำเร็จได้ง่ายๆ (กบจะไข่เยอะ)
ข้อเสีย คือ ลูกกบที่เพาะได้จะขายยากและราคาต่ำ + เมื่อเลี้ยงกบโตจะขายได้ราคต่ำ + โอกาสกบเป็นโรคอาจจะสูงที่สุด + การดูแลลูกอ๊อดค่อนข้างจะยาก บางครั้งฝนตกหนักลูกอ๊อดอาจน็อคตายทั้งบ่อ
จากข้อมูลดังกล่าวที่เราได้รวบรวมไว้จากประสบกาณ์เฉพาะสถานที่ของเรา จึงสรุปได้ว่า
1. การเลี้ยงในปีแรกๆคงจะยังไม่ได้กำไรอะไรมากนัก นอกจากได้ประสบการณ์เพื่อใช้ในปีถัดๆไป
2. ผู้เลี้ยงต้องตั้งใจจริง ไม่ท้อ ไม่เลิกล้มกลางคัน เมื่อพบปัญหาต้องปรึกษาผู้ที่เลี้ยงมาก่อน
3. เมื่อยอมรับได้เรื่องการขาดทุนบ้างในระยะแรก และไม่ท้อเมื่อเกิดปัญหา
ก็จะสรุปได้ว่าเริ่มเลี้ยงช่วงปลายฤดูฝน น่าจะดีและเหมาะสมกับผู้เลี้ยงมือใหม่มากที่สุดครับ
ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องการเกิดโรค และก็จะขายได้ราคาดีกว่า เมื่อกบโตพร้อมขาย
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของฟาร์มเรานะครับ ผู้อ่านกรุณาตัดสินใจด้วยตนเองครับ
การลงทุนประกอบธุรกิจเลี้ยงกบ ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เกษตรกรหลายพื้นที่ให้ความสนใจและนิยมหันมาเลี้ยงกบกันมากขึ้น นอกจากเกษตรกรจะลงทุนสร้างบ่อลอยหรือบ่อซีเมนต์ เลี้ยงกบแล้ว เกษตรกรบางรายยังใช้ภูมิปัญญาพัฒนา วิธีเลี้ยงกบ เป็นการลดต้นทุน ด้วยการเลี้ยงกบในขวดน้ำ และเลี้ยงกบคอนโด เพียงแต่จัดหายางรถสิบล้อเก่า ๆ มาวางซ้อนเป็นชั้น ๆ ใส่น้ำนำลูกกบไปปล่อยเลี้ยง ใช้เวลาเลี้ยง ให้อาหารประมาณ 2 เดือน กบก็จะโตขายได้ราคาดี
ผู้ที่สนใจจะเลี้ยงกบไว้ข้างบ้านนั้น แนะนำให้เลี้ยงกบคอนโด นอกจากจะไม่สิ้นเปลืองน้ำ ใช้พื้นที่ไม่มากแล้ว กบที่เลี้ยงในคอนโดจะโตเร็วกว่ากบที่เลี้ยงในบ่อลอยที่ต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน แต่กบคอนโดใช้เวลา 2 เดือนก็จะโตเต็มที่ขายได้ 3 – 4 ตัวต่อ 1 กก. และสร้างคอนโด 1 ชุด สามารถเลี้ยงกบได้ 100 ตัว สำหรับอาหารที่นำมาใช้เลี้ยงกบ ตามปกติก็มีอาหารกบขายอยู่ตามท้องตลาด แต่เพื่อประหยัดต้นทุน ก็ทดลองนำอาหารปลาดุกมาเลี้ยงกบได้ หรือผสมกล้วยน้ำว้าในอาหารให้กบกิน กบก็จะโตได้ตามปกติและยังให้น้ำหนักดีอีกด้วย
วิธีการเลี้ยงกบคอนโด
1. วัสดุอุปกรณ์
1.1 ยางรถ (ขนาด รถแทรกเตอร์ เลี้ยงได้100 ตัว,ขนาด รถ 10 ล้อ เลี้ยงได้ 50 ตัว, ขนาด 6 ล้อ เลี้ยงได้ 30 ตัว,ขนาด 4 ล้อ เลี้ยงได้ 20 ตัว)
1.2 ทรายหยาบ
1.3 ตะแกรง
1.4 กบพันธุ์ ( หลักการเลือกซื้อลูกกบ )
1.5 ปูนขาว
1.6 อาหารกบแท้ หรือปลาดุก
1.7 ถาดวางอาหาร

2. วิธีการเลี้ยง
2.1 เริ่มต้นด้วยการหาพื้นที่เลี้ยงกบ(แสงแดดส่องรำไร)
2.2 ใช้ทรายหยาบถมหนาประมาณ 6 นิ้ว
2.3 เสร็จแล้วให้ใช้ตะแกรงรองพื้น
2.4 แล้วเทหินเกล็ดทับตะแกรง หนาประมาณ 3 นิ้ว
2.5 วางคอนโด (ยางรถ 3 เส้น ซ้อนทับขึ้นไป)
2.6 ปล่อยกบลงคอนโด
2.7 นำตะแกรงปิดปากคอนโดของกบ ด้านบน เพื่อป้องกันกบกระโดดออกไป

3. อาหารกบและการให้อาหาร
3.1 ใช้อาหารปลาดุกเม็ดใหญ่ ให้กบกินทุกเช้า เย็น โดยวางอาหารไว้ในถาดด้านล่างคอนโด
3.2 อาหารเสริมเป็นผักบุ้งหั่นฝอย ให้กิน ทุก 2 วัน/ครั้ง
3.3 ใส่น้ำ 2 คอนโด (ชั้นที่ 1 และ 2) ถ่ายน้ำทุก 3 วัน
3.4 ล้างหินและอุปกรณ์ให้สะอาด ล้างด้วยจุลินทรีย์ผลไม้
3.5 ใช้ไฟส่อง ล่อแมลงให้กบกิน เป็นอาหารเสริม
3.6 เลี้ยงไปประมาณ 20 วัน ให้แยกขนาดกบเล็ก-ใหญ่

4. พันธุ์กบที่นำมาเลี้ยง เป็นกบคอนโด เป็นกบพันธุ์ ที่หาซื้อได้ตามฟาร์มทั่วๆไปครับ
5. ระยะเวลาการเลี้ยงกบประมาณ 2 เดือน


ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่จำกัดได้ดี และดีกว่าการเลี้ยงแบบใส่ขวดพลาสติก
2. ลงทุนต่ำ กว่าเลี้ยงในบ่อปูน
3. ให้อาหารกบได้ง่ายและทั่วถึง ไม่เปลืองอาหาร
4. ควบคุมโรคได้ง่าย ถ่ายน้ำสะดวก และใช้น้ำน้อยกว่า
5. เหมาะกับผู้เริ่มทดลองเลี้ยงเพื่อศึกษา ไม่หวังผลกำไร


ข้อเสีย
1. ยากต่อการสังเกตและดูแล หากเลี้ยงในปริมาณมากๆ
2. ไม่เหมาะกับการเลี้ยงจริงจังเชิงพาณิชย์ ที่ต้องมีปริมาณผลผลิตต่อเดือนสูง

การเลี้ยงกบในกระชัง
• เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากเช่นกัน เพราะมีต้นทุนน้อยกว่าเลี้ยงในบ่อปูนพอสมควร
• สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่สุด แต่ยากต่อการควบคุมความสะอาดบ่อและยากต่อการควบคุมโรคกว่าบ่อปูน

ลักษณะบ่อดินเพื่อใช้เลี้ยงกบในกระชัง
• โดยจะขุดบ่อดินขาดประมาณ 35 x 20 เมตรขึ้นไป ลึก 80 – 100 เซ็นติเมตร ไว้หลายๆบ่อ ส่วนใหญ่จะเหมาะกับผู้ที่มีพื้นที่เป็นท่งนามาก่อน
• นำกระชังเลี้ยงกบสำเร็จรูป(ใช้เครื่องจักรเย็บกระชัง จะทนทานกว่าใช้มือเย็บเอง) โดยกระชังที่นิยมที่สุดคือ ขนาด 3 x 4 เมตร ซึ่งจะใส่กบได้ประมาณ 1,200 – 2,500 ตัว/กระชัง เลยทีเดียว โดยมักจะใส่จนเต็มพอดีกับพื้นที่ และมีทางเดินตรงกลางเพื่อสะดวกต่อการให้อาหารและจับกบทยอยขายได้
• สูบน้ำเข้าบ่อประมาณ 50 เซ็นติเมตร แล้วนำกระชังขึงด้วยไม้ใผ่ และนำแผ่นยางลอยน้ำ รองใต้กระชัง เพื่อให้ลอยเหนือน้ำ เป็นพื้นที่แฉะสำหรับกบอาศัยอยู่
• ด้านบนปิดด้วยตาข่าย กันศัตรูกบมากิน และมีสแลนพรางแสงและกันฝน กันกบตกใจ
• ปกติถ้าน้ำดีๆจะถ่ายน้ำทุกๆ 7 วัน ก็ได้ โดยสังเกตจากกลิ่นของน้ำเป็นสำคัญ จะต้องไม่เหม็นมากนัก

น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบกระชัง
• หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้งหนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
• น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน
• หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้ แต่บางที่มีคุณภาพดีก็นำมาใช้เลี้ยงกบรุ่นๆได้เลยเช่นกัน



ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดีมากๆ
2. อายุการใช้งานของกระชังเฉลี่ย 2 – 3 ปี ต่อกระชัง เงินลงทุนกระชังละไม่เกิน 600 บาท/กระชัง
3. เปลี่ยนถ่ายน้ำได้บ่อยๆ และง่าย รวดเร็ว กว่าแบบอื่นๆมาก ถ้ามีน้ำคลองสามารถเปิดให้ไหลผ่านหมุนเวียนได้ตลอด จะดีที่สุด กบจะไม่มีโรค และไม่เปลืองค่ายารักษาโรค
4. ให้อาหารง่าย ไม่เปลืองอาหารมากนัก เหมือนๆกับการเลี้ยงในบ่อปูน
5. ควบคุมดูแลโรคได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆ เหมือนๆกับการเลี้ยงในบ่อปูน แต่ด้อยกว่าเล็กน้อย
6. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดอีกแบบหนึ่ง
7. สามารถจับกบขายได้ตลอดเวลา
8. กบไม่มีกลิ่นอับติดตัว เพราะเลี้ยงใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด
9. กบมีพยาธิน้อยเพราะไม่ได้สัมผัสดิน โคลนโดยตรง
10. จำนวนกบที่รอดชีวิตจนจับขายได้ มีสูงกว่าบ่อดินธรรมดามาก


ข้อเสีย
1. หากผู้เลี้ยงมีอายุมาก จะเสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด จมน้ำเสียชีวิตได้ เพราะอาจต้องใช้สะพานเดินลงไปให้อาหารภายในบ่อ(ถ้าบ่อใหญ่ๆ)
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
2. ลงทุนสูงกว่าเลี้ยงกบในบ่อดินธรรมดา แต่ต้นทุนยังน้อยกว่าการสร้างบ่อปูน
3. ถ้าน้ำเสีย กบในบ่อทุกกระชังจะได้รับผลกระทบพร้อมกันหมดทั้งบ่อ เป็นโรคแล้วควบคุมหรือรักษาให้หายค่อนข้างยากกว่าบ่อปูนพอสมควร
4. ถ้าทำกระชังไม่ดีพอ หรือเย็บเองโดยขาดความรู้ กระชังมักจะมีรูรั่วหรือขาดโดยที่เราไม่รู้ จนกบหนีไปหมดในที่สุด
5. ต้องรื้อถอนและทำกระชังใหม่เมื่อครบระยะเวลา 2 – 3 ปี ทำให้ต้องลงทุนค่ากระชังอีกครั้ง
6. ถ้าเลิกเลี้ยงต้องรื้นถอนกระชังออก และต้องซื้อดินมาถมบ่อ สิ้นเปลืองมากๆ

การเลี้ยงกบในกล่องโฟมคอนโด
อันนี้ต้องยกเครดิตให้คุณลุงฉะอ้อน นะครับข้อมูลส่วนที่ผมรวบรวมมาจะเป็นแนวคิดที่คุณลุงท่านนี้ริเริ่มไว้ แล้วผมมาเล่าต่อนะครับ

ก่อนอื่นต้องหากล่องโฟมขนาดกว้าง 40 ซม.ยาว 60 ซม. สูง 30 ซม. โดยหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้า ที่ห้างใช้ใส่ผักผลไม้มาวางจำหน่าย ประมาณราคากล่องละ 70 – 80 บาท แต่ต้องเลือกกล่องโฟมที่ใช้ในการใส่ผักและผลไม้เท่านั้น เนื่องจากกล่องโฟมเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างเมื่อนำมาใช้เป็นสถานที่เลี้ยงกบ และต้องเลือกดูว่ากล่องโฟมไม่มีการรั่วซึมหรือไม่
จากนั้นนำมาทำความสะอาดและดัดแปลงโดยการเจาะรูรอบกล่องทั้ง 4 ด้านเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นำเทปกาวมาติดยึดฝากล่องให้พับปิดเปิดได้ แล้วเจาะรูด้านบนฝากล่อง ตัดปากขวดน้ำดื่มพลาสติก ยัดใส่ลงไปในรูที่เจาะไว้เพื่อใช้เป็นที่ให้อาหาร เมื่อหาที่วางกล่องเรียบร้อย ใส่น้ำลงไปให้สูงประมาณ 1 ซม. นำกบจากบ่ออนุบาลที่มีอายุ 2 เดือนใส่กล่องละ 100 ตัว ( หลักการเลือกซื้อลูกกบ ) ไปวางไว้ในโรงเรือนหรือที่ใดก็ได้ แต่ห้ามไปตั้งกลางแจ้งหรือถูกแดดเด็ดขาดเพราะจะทำให้กบร้อนตายได้
เพื่อประหยัดเนื้อที่ นำกล่องโฟมตั้งซ้อนกันไว้แต่ไม่ควรเกิน 4 ชั้น เพราะจะสะดวกต่อการให้อาหาร โดยการให้อาหารกบก็จะใช้หัวอาหารกบหรืออาหารปลาดุกโตวันละ 2 มื้อ เช้า-เย็น ส่วนการเปลี่ยนถ่ายน้ำก็ควรจะเปลี่ยน 2 วันต่อครั้ง เพื่อไม่ให้น้ำสกปรก ส่วนการเปลี่ยนน้ำก็ทำได้ง่ายๆ โดยการแง้มฝากล่องแล้วเทน้ำออกจากนั้นก็นำสายยางสอดลงไปในที่ให้อาหาร ปล่อยน้ำเข้ากลับไปเหมือนเดิม จากนั้นหมั่นตรวจดูการเจริญเติบโตของกบทุก 2 สัปดาห์ และคัดแยกกบที่โตช้ากว่าตัวอื่นๆ ออก เนื่องจากหากปล่อยไว้กบจะกัดกันและเป็นแผลซึ่งอาจทำให้เกิดโรคตามมาได้
กระทั่งกบอายุได้ 4 เดือน ก็ให้แยกกบออกจนเหลือ 50-60 ตัว เนื่องจากกบจะเริ่มโต หากปล่อยไว้จะทำให้แออัดกบจะกัดกัดตายได้ จากนั้นก็ดูแลไปอีก 2 เดือน ก็สามารถจับไปขายได้แล้ว กบก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ตัวละ 400-500 กรัม
“การเลี้ยงกบกล่องโฟมทำได้ง่าย สะดวกมาก เพราะกล่องมีน้ำหนักน้อย ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ยกเปลี่ยนน้ำได้สะดวก ถือเป็นการเลี้ยงระบบปิดทำให้กบปลอดจากโรค ประหยัดเนื้อที่ เพียงแต่มีพื้นที่ 4×6 ตารางวา ก็จะเลี้ยงกบได้ถึง 5,000 ตัวเลยทีเดียว” คุณลุงฉะอ้อนกล่าวไว้นะครับ
นับเป็นอีกหนึ่งวิธีในการเลี้ยงกบที่ผู้สนใจสามารถนำไปทดลองเลี้ยงได้ โดยเฉพาะคนเมืองซึ่งมีเนื้อที่น้อยได้ก็สามารถใช้ประโยชน์จากการเลี้ยงกบเพื่อสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย


ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่จำกัดได้ดีพอสมควร และดีกว่าการเลี้ยงแบบใส่ขวดพลาสติก
2. ลงทุนต่ำ กว่าเลี้ยงในบ่อปูนหรือบ่อดิน
3. ให้อาหารกบได้ง่ายและทั่วถึง ไม่เปลืองอาหาร
4. ควบคุมโรคได้ง่าย ถ่ายน้ำสะดวก และใช้น้ำน้อยกว่า
5. เหมาะกับผู้ที่เริ่มศึกษาการเลี้ยง หรือเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่หวังผลกำไร


ข้อเสีย
1. ใช้เวลาถ่ายน้ำและให้อาหารนาน หากเลี้ยงจำนวนหลายๆกล่อง เพราะใส่ได้แค่กล่องละ 100 ตัว เท่านั้น
2. ไม่เหมาะกับการเลี้ยงจริงจังเชิงพาณิชย์ ที่ต้องมีปริมาณผลผลิตต่อเดือนสูง ถ้าหากมีแรงงานน้อยหรือผู้เลี้ยงมีเวลาไม่มากพอ
3. ไม่คุ้มค่าเวลาเลี้ยง เหน็ดเหนื่อยกว่าปกติ ไม่มีกำไร เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน ไม่คุ้มค้า

การเลี้ยงกบในขวดน้ำพลาสติกเป็นการประยุกต์การเลี้ยงกบให้เข้ากับสภาพพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดและเป็นการนำเศษวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์และเป็นการจัดการที่ง่ายและสดวก
การเลี้ยงกบในขวดพลาสติก
วัสดุ-อุปกรณ์ 
1.ขวดน้ำพลาสติก 1.25 ลิตร ขึ้นไป แบบกลมหรือเหลี่ยมก็ได้
2.ชั้นวาง
3.ลูกกบ ( หลักการเลือกซื้อลูกกบ )
4.อาหารกบแท้ หรืออาหารปลาดุก

วิธีการเลี้ยง
1. ให้เรานำขวดพลาสติกมาเจาะรูขนาดเล็กไว้ประมาณสัก 2 รู เพื่อที่จะเป็นที่ช่องสำหรับใส่อาหาร แล้วให้ใส่น้ำเข้าไปในขวดเพียงเล็กน้อยไม่ต้องเต็มขวด
2. หลักจากนั้นก็ให้นำลูกกบใส่เข้าไปในขวด โดยจะใส่ขวดละ 1 – 2 ตัว แล้วปิดฝาให้แน่น
3. นำขวดไปตั้งไว้ที่ชั้นวางเป็นชั้นๆ โดยวางให้อยู่ในลักษณะที่เอียง
4. การให้อาหารก็จะให้อาหารวันละ 2 เมื้อ เช้าและเย็น โดยใส่ไปในรูที่เราได้เจาะไว้
5. การถ่ายเปลี่ยนน้ำก็จะเปลี่ยน 2 วัน/ครั้ง โดยให้เปิดฝาแล้วเทน้ำทิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำเข้าไปใหม่
6. หลักจากที่เลี้ยงไว้ประมาณ 3 เดือนก็สามารถนำไปขายได้แล้ว
7. การขายก็ให้นำขวดพลาสติกมาตัดให้ขาดแล้วจับกบไปชั่งขาย

การสังเกตและให้เวลาในการเลี้ยงกบขวด 
1. ควรให้อาหารพอเหมาะ โดยให้สังเกตไม่มีอาหารเหลือในขวด เมื่อให้อาหารครั้งต่อไป
2. น้ำที่เปลี่ยนถ่ายสามารถนำไปรดต้นไม้หรือผักสวนครัวต่อไป
3. ควรทำความสะอาดขวดที่ใช้เลี้ยงเมื่อสกปรกหรือมีกลิ่น
4. เมื่อพบกบมีบาดแผลให้รีบรักษา โดยผสมยาปฏิชีวนะกับอาหารให้กบกิน ส่วนใหญ่จะพบบาดแผลที่ปาก เนื่องจากกระโดดในขวดเมื่อกบตัวโตขึ้น
5. ขวดพลาสติกที่นำมาเลี้ยงควรเป็นขวดลักษณะสี่เหลี่ยม จะสะดวกและเหมาะสมในการจัดชั้นวาง

*** วิธีการเลี้ยงกบในขวด จะปลอดภัยจากโรค สะดวกกว่าการเลี้ยงแบบคอนโด เพราะไม่ต้องทำความสะอาดเพียงแค่เปลี่ยนน้ำทุก 2 วัน แถมประหยัดน้ำกว่า ศัตรูหรือสัตว์ต่างๆ ก็ไม่เข้าไปรบกวน ทำให้กบสะอาดและแข็งแรง ขายได้ราคาดี ***


ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่จำกัดได้ดี
2. ลงทุนต่ำ กว่าเลี้ยงในบ่อปูนหรือบ่อดิน
3. ให้อาหารกบได้ง่ายและทั่วถึง ไม่เปลืองอาหาร
4. ควบคุมโรคได้ง่าย ถ่ายน้ำสะดวก และใช้น้ำน้อยกว่า
5. นำมารับประทานได้ , เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว , ลดภาวการณ์เกิดน้ำเสีย , ง่ายต่อการผลิต , ลดการเกิดขยะจากขวดน้ำได้ด้วย
6. เหมาะกับผู้เริ่มทดลองเลี้ยงเพื่อศึกษา ไม่หวังผลกำไร หรือเลี้ยงเล่นๆ 5 วัน หรือ 10 วัน สนุกๆ เป็นต้น

ข้อเสีย
1. ยากต่อการสังเกตและดูแล หากเลี้ยงในปริมาณมากๆ
2. ไม่เหมาะกับการเลี้ยงจริงจังเชิงพาณิชย์ ที่ต้องมีปริมาณผลผลิตต่อเดือนสูง
3. ไม่สะดวก และเสียเวลามากๆ เมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้รับ ขาดทุนเวลา
4. ไม่คุ้มค่าเวลาเลี้ยง เหน็ดเหนื่อยกว่าปกติ ไม่มีกำไร เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน ไม่คุ้มค้า

การเลี้ยงกบในบ่อดิน ใช้พื้นที่ประมาณ 100 -200 ตารางเมตร ภายในคอกเป็นบ่อน้ำลึกประมาณ 1 เมตร บางแห่งอาจจะทำเกาะกลางบ่อเพื่อเป็นที่พักของกบและที่ให้อาหาร แต่บางแห่งก็ใช้ไม้กระดานทำเป็นพื้นลาดลงจากชานบ่อก็ได้ ส่วนพื้นที่รอบๆ ขอบบ่อภายในที่ห่างจากรั้วคอกอวนไนลอนกว้าง 1 เมตร ปล่อยให้หญ้าขึ้น หรือบางรายอาจปลูกตะไคร้เพื่อให้กบใช้เป็นที่หลบอาศัยภายในบ่อที่เป็นพื้นจะมีพวกผักตบชวา หรือพืชน้ำอื่น ๆ ให้กบเป็นที่หลบซ่อนภัยและอาศัยภายในบ่อที่เป็นพื้นน้ำจะมีพวกผักตบชวา หรือพืชน้ำอื่นๆ ให้กบเป็นที่หลบซ่อนภัยและอาศัยความร่มเย็นเช่นกัน คอกที่ล้อมรอบด้วนอวนไนลอนนี้ ด้านล่างจะใช้ถุงยางมะตอยผ่าซึก หรือแผ่นสังกะสีฝังลึกลงดินประมาณ 1 ศอก เพื่อป้องกันศัตรูบางชนิด เช่น หนู ขุดรูลอดเข้าไปทำอันตรายกับกบที่อยู่ในบ่อหรือในคอก ส่วนด้านบนของบ่อมุมใดมุมหนึ่ง จะมุงด้วยทางมะพร้าวเพื่อเป็นร่มเงา และยังใช้เป็นที่ให้อาหารกบอีกด้วย นอกจากนั้นบางแห่งยังใช้เสื่อรำแพนเก่า ๆ ที่ใช้ทำเป็นฝาบ้าน นำมาวางซ้อนกัน โดยมีลำไม้ไผ่สอดกลางเพื่อให้เกิดช่องว่างให้กับเข้าไปหลบอาศัย และด้านบนนั้นก็เป็นที่รองรับอาหารที่โยนลงไปให้กบกินได้เช่นกัน


ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดี
2. ลงทุนต่ำ กว่าเลี้ยงในบ่อปูน และแบบกระชัง
3. ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ
4. ไม่เปลืองอาหารมากนัก เพราะกบยังหาอาหารตามธรรมชาติกินได้
5. เป็นการเลี้ยงเชิงพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก ไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย ผู้เลี้ยงมีเวลาทำงานอย่างอื่นๆได้มาก
6. กรณีถ้าระบบน้ำดีๆกบจะไม่ค่อยเป็นโรค และแข็งแรงดี
7. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดอีกแบบหนึ่ง


ข้อเสีย
1. หากผู้เลี้ยงมีอายุมาก จะเสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด จมน้ำเสียชีวิตได้ เพราะอาจต้องใช้สะพานเดินลงไปให้อาหารภายในบ่อ(ถ้าบ่อใหญ่ๆ)
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
2. ยากต่อการสังเกตและดูแลกบที่เป็นโรค เพราะอยู่กันกระจัดกระจาย ทั่วไป
3. ยากต่อการให้อาหารอย่างทั่วถึง และกบมักจะมีพยาธิ ต้องให้ยาถ่ายพยาธิเดือนละ 1 ครั้ง
4. ถ้าทำที่กั้นบ่อไม่ดี กบอาจจะหนีไปได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว
5. ยากต่อการตรวจนับจำนวนกบที่เหลือชีวิตรอดในบ่อดิน
6. ยากต่อการจับขายหรือคัดขนาดที่ตัวโตๆขายไปก่อน เพราะส่วนใหญ่ต้องจับพร้อมๆกันทั้งบ่อ โดยสูบน้ำออกให้หมดก่อน
7. ถ้าเลิกเลี้ยงจะต้องซื้อดินมาถมบ่อ เพื่อนำพื้นที่ไปทำอย่างอื่น สิ้นเปลืองมากๆ

การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์
• เป็นรูปแบบที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด โดยบ่อที่นิยมจะมาขนาด 3 x 4 เมตร หรือใหญ่กว่า
• สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อ ควบคุมโรครวมถึงการจับแบบทยอยจับได้
• บ่อส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ที่เป็นพื้นบกสำหรับกบอาศัยอย่างน้อย 70% ของบ่อ ที่เหลือเป็นพื้นน้ำ

ลักษณะบ่อปูนซีเมนต์เลี้ยงกบ
• โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อ
• บ่อเลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลือง มีหลายขนาด เช่น 3×4 , 3.2×4 , 4×4 , 4×5 , 4×6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
• บ่อเลี้ยงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พื้นบ่อมีการเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30- 50 เซนติเมตร
• บ่อกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแสลนกรองแสงทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกินกบ
• มีการวางระบบน้ำ โดยเดินท่อพีวีซีไปยังทุกบ่อ เพื่อเติมน้ำในขณะที่เปลี่ยนน้ำออกจากบ่อ

น้ำสำหรับใช้เลี้ยงกบ
• ควรตรวจสอบคุณภาพน้ำ เช่น ความเป็นกรดด่างของน้ำ (พีเอชประมาณ 7 จะดี) ความกระด้าง ค่าอัลคาไลนิตี้ ปริมาณแอมโมเนีย แร่ธาตุในน้ำ ฯลฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่
• หากน้ำที่ใช้เป็นกรด จะต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำและตรวจวัดความเป็นกรดด่างของน้ำอีกครั้งหนึ่ง และมีการพักน้ำดังกล่าวไว้ก่อนนำมาเลี้ยงกบ
• น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะซึ่งคุณภาพของน้ำมักจะไม่สม่ำเสมอหรือปนเปื้อนสารเคมีที่ใช้ในการเกษตร ดังนั้นควรพิจารณาในการนำมาใช้ ถ้าจะนำมาใช้ควรมีบ่อพักเก็บกักน้ำไว้ก่อน
• หากน้ำที่ใช้เป็นน้ำบาดาลควรผ่านการกรองและพักน้ำไว้ก่อนนำมาใช้ แต่บางที่มีคุณภาพดีก็นำมาใช้เลี้ยงกบรุ่นๆได้เลยเช่นกัน


ข้อดี
1. เลี้ยงในบริเวณบ้าน หรือมีพื้นที่ทุ่งไร่ ทุ่งนาได้ดี
2. อายุการใช้งานของบ่อปูนจะนานและเอนกประสงค์กว่าแบบอื่นๆ
3. เปลี่ยนถ่ายน้ำได้บ่อยๆ และง่าย รวดเร็ว
4. ให้อาหารง่าย ไม่เปลืองอาหารมากนัก
5. ควบคุมดูแลโรคได้ง่ายกว่าแบบอื่นๆ เพราะมองเห็นกบได้ง่ายกว่า
6. เป็นการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุดทางหนึ่ง
7. สามารถจับกบขายได้ตลอดเวลา

ข้อเสีย
1. อันตรายต่อผู้เลี้ยงที่มีอายุมาก เนื่องจากบ่อปูนจะลื่นมากเมื่อขังน้ำไว้นานๆ และมีตะไคร่น้ำเกาะติด ทำให้เสี่ยงต่อการลื่นล้มเป็นอัมพาฒ หรือเป็นลมแดด หัวฟาดจนจมน้ำเสียชีวิตได้
(แนะนำกระชังแบบตั้งบนพื้นดิน เติมน้ำใช้เลี้ยงกบได้ทันที ทั้งประหยัดและปลอดภัยที่สุด)
2. ลงทุนในครั้งแรก สูงกว่าแบบอื่นๆมาก ระยะเวลาคืนทุนนานมาก
3. กบมักจะมีกลิ่นเหม็นอับ หรือมีกลิ่นปูนติดตัวมาด้วย ขาดความเป็นธรรมชาติเล็กน้อย
4. ถ้าทำขอบบ่อไม่เรียบ มักเกิดปัญหาโรคกบเป็นแผล จากการกระโดดชนผนังปูน
5. ถ้าเลิกเลี้ยงและต้องการใช้พื้นที่ไปทำกิจการอื่นๆ ต้องเสียค่าทุบและรื้อถอนค่อนข้างสูง

ในที่นี้ผมจะขอแนะนำให้ท่านหาซื้ออาหารเม็ดสำเร็จรูป ที่เป็นอาหารกบโดยตรงมาใช้นะครับ ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ท่านสะดวกที่จะหามาได้นะครับ หลายๆคนและหลายๆที่ก็แนะนำว่าเป็นปลาต้มสับ ก็ได้เหมือนกัน แต่ปัจจุบันทุกอย่างเร่งรีบ และอาหารแบบตามธรรมชาติก็ลดน้อยลงไปมาก ผมจึงแนะนำตามความคิดผมด้านบนนะครับ เพราะอาหารเม็ด ปัจจุบันก็ราคาเฉลี่ย 480 – 530 บาท / กระสอบ(20 กก.) นะครับ ( ยึดตามราคาที่ฟาร์มของผมจำหน่ายอยู่ครับ )
หลักการให้อาหารกบ คือ
1. การให้อาหารและขนาดเม็ดอาหาร ให้ดูคร่าวๆจากอายุกบ ไปเลยครับ ไม่ต้องสนใจหลักการอะไรมากครับ เช่น
- กบเล็กอายุ 15 – 35 วัน ให้กินอาหารเม็ดเล็กสุด หรือที่เรียกว่าเม็ดโฟม ให้กินพออิ่ม อย่าให้มาก เพราะกบจะท้องอืดตายได้
- กบเล็กอายุ 36 – 45 วัน ให้กินอาหารเม็ด เบอร์ 1 ได้ครับ
- กบรุ่นอายุ 46- 59 วัน ให้กินอาหารเม็ด เบอร์ 2 ได้เลยครับ
- กบโตอายุ 60 วัน ขึ้นไป ให้กินอาหารเม็ด เบอร์ 3 ได้เลยครับ และก่อนจับก็ให้กินเบอร์ 4 เพื่อรอคนมาจับได้นะครับ
2. อาหารยิ่งเบอร์เล็ก ยิ่งแพง เพราะว่าในช่วงกบอายุน้อยๆจะต้องการโปรตีนปริมาณสูงกว่ากบโต จึงทำให้อาหารเบอร์เล็กแพงกว่าเบอร์ใหญ่ๆครับ
3. กบเล็ก อายุ 30 – 60 วัน ให้กินอาหารวันละ 3 มื้อ ให้กินพออิ่ม อันนี้ต้องดูเอาว่ากบกินทั่วถึงแล้วหรือไม่ ไม่ต้องไปคำนวณตามสูตรอะไรมากมาย เอาง่ายๆพอครับ
4. กบรุ่นและกบโต อายุ 60 วันขึ้นไปให้กินอาหารวันละ 2 มื้อ ก็พอครับ จะได้ไม่เปลืองมาก อย่าให้อาหารมากเกิน เพื่อป้องกันกบท้องอืด และตาย
5. การให้อาหารควรเคล้ายาให้กบบ้าง ตามอาการที่กบเป็นโรค หรือเพื่อป้องกันโรค ส่วนยาก็ไปที่ร้านเกษตรทั่วไปแล้วเลือกดูเอาครับตามที่พบอาการว่ากบมีอาการเป็นอะไรบ้าง สมัยนี้มียารักษาและป้องกันหลายยี่ห้อครับ แต่แนะนำให้ใช้ยาให้น้อยที่สุด หรือเท่าที่จำเป็นนะครับ ตรงนี้สำคัญมากถ้าต้องการส่งออกกบในอนาคตครับ
6. ตามปกติกบจะกินอาหารเรื่อยๆไม่มีหยุด เรียกว่ากินจนท้องอืดและตายในที่สุด ดังนั้นอย่าคิดว่ากบกินอาหารหมดแสดงว่ากบหิว จริงๆแล้วให้ดูโดยรวมๆว่ากินทั่วถึงแล้วหรือยัง ถ้าทั่วถึงแล้วก็ให้หยุดให้อาหารในมื้อนั้นๆและจำเป็นมาตรฐานไว้ว่าเราควรจะให้มื้อละกี่กิโลกรัมครับ



หลายๆที่แนะนำให้เลี้ยงกบด้วยอาหารปลาดุก ผมมีความคิดเห็นต่างออกไปนะครับ เพราะว่าอาหารปลาดุกนั้นโปรตีนจะต่ำกว่าอาหารกบอย่างมาก นั่นหมายความว่าถ้าเราใช้อาหารปลาดุกมาใช้เลี้ยงกบ ก็จะทำให้กบโตช้าและแกร็น เพราะในช่วง 1 – 2 เดือนแรก กบจะมีการเจริญเติบโตสูงและต้องการโปรตีนสูงตามไปด้วย การใช้อาหารปลาดุกเท่ากับเป็นการลดโปรตีนลงไป กบจะไม่โตเท่าที่ควร และไม่ได้น้ำหนัก(โต แต่กลวงๆ)
แล้วเราจะใช้อาหารปลาดุกเมื่อใด เพราะว่ามันราคาถูก น่านำมาใช้แทนอาหารกบซะเหลือเกิน?
คำตอบคือ ตอนกบอายุ 100 วันไปแล้ว และอยู่ในช่วงที่กบโตในท้องตลาดมีราคาถูกซะจนรับไม่ได้ จะให้อาหารกบแท้ไปทำไม เมื่อขนาดกบก็ 4 – 5 ตัว / กก. อยู่แล้ว แต่ราคาขายถูกจนต้องตัดสินใจเลี้ยงต่อไว้ก่อนเพื่อรอราคาขึ้น แบบนี้ต้องเอาอาหารปลาดุกมาให้กบกินประทังชีวิตไปก่อนครับ เพื่อรอขายอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการให้กบโตเพิ่มแต่อย่างใด อันนี้ผมว่าเหมาะสมครับ
อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวผมและผมก็ทำอยู่ครับ ใครพิจารณาแล้วเห็นตรงกันก็ลองนำไปปรับใช้ดูได้ครับ ไม่เห็นด้วยก็อย่าว่ากันนะครับ


แนะนำสูตรอาหารกบและปลาดุก แบบประหยัด (แหล่งที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677 |http://www.rakbankerd.com)
สูตรอาหารกบ
วัตถุดิบที่ต้องใช้
1.หอยเชอรี่…………….จำนวน…….32…..กิโลกรัม
2.มันเส้น……………….จำนวน…….14…..กิโลกรัม
3.ข้าวโพด………………จำนวน…….10…..กิโลกรัม
4.ข้าวเหนียวแห้ง……….จำนวน…….10…..กิโลกรัม
5.ใบกระถินสด………….จำนวน…….10…..กิโลกรัม
6.กากมะพร้าว………….จำนวน……..4……กิโลกรัม
7.รำอ่อน……………….จำนวน……..24….กิโลกรัม
8.กล้วยสุก……………..จำนวน……..12….หวี
9.ผงฟู/ยีสต์……………จำนวน………2…..ซอง
10.ปลายข้าว………….จำนวน………20…กิโลกรัม
รวมน้ำหนัก…………………….100-120…กิโลกรัม
วิธีการผสม
- นำส่วนผสมทั้งหมดมาบดใส่เครื่องบดผสมกัน ซึ่งจะมีขนาดของหัวอาหารแบ่งเป็นเบอร์ คือ เบอร์1 / เบอร์ 2 และ เบอร์ 3 จากนั้นให้นำมาตากแดดไว้จนแห้งประมาณ 1-2 วัน แล้วจึงนำไปให้สัตว์กิน
- สามารถเป็นหัวอาหารให้กับกบ และ ปลาดุก ได้ เพื่อเป็นอาหารบำรุงให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง และมีความอ้วนถ้วนสมบูรณ์

ผมเคยเจอผู้ที่ขายอุปกรณ์และวัตถุดิบอยู่บ้าง เข้าดูตามลิ้งนี้นะครับ
- สำหรับเครื่องบดและอัดเม็ด ลงดูที่นี่ดูก่อนครับ ที่ http://www.pui-thai.com
- ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ แนะนำให้ปรึกษาผู้ขายที่ sup_jong@hotmail.com ผมเห็นเขาประกาศขายอยู่หลายเว็ปครับ
- หรือไปที่ http://www.thaifeed.net ก็มีคนขายเยอะครับ


แจ้งเตือน!
ช่วงต้นฤดูฝนใหม่ๆ กบจะเป็นโรคต่างๆได้ง่าย เช่น โรคตาขาว โรคกระแตเวียน โรคปากแดง โรคเป็นแผลพุพอง จึงต้องระวังในการเลี้ยงเป็นพิเศษ และให้ยาตามความเหมาะสม

ในส่วนของข้อมูลด้านล่างนี้ จะเป็นข้อมูลเชิงวิชาการเป็นส่วนมากนะครับ ซึ่งผมได้รวมรวมมาจากหลายๆเว็ปไซต์
(จึงต้องขออนุญาติ นำมาเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อเกษตรกรต่อไป)

โรคติดเชื้อแบคทีเรียในระยะลูกอ๊อด
อาการ ลูกอ๊อดจะมีลำตัวด่าง คล้ายโรคตัวด่างในปลาดุก จากนั้นจะเริ่มพบอาการท้องบวมและตกเลือดตามครีบหรือระยางค์ต่างๆ
สาเหตุของโรค แบคทีเรียในกลุ่ม Flexibacteris
การรักษา1. ใช้เกลือแกงแช่ในอัตรา 0.5% (5 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร) นาน 3-5 วัน
2. ใช้ยาออกซีเตตร้าซัยคลินแช่ในอัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร ติดต่อกันทุกวันนาน 3-5 วัน
การป้องกัน
1. อนุบาลลูกอ๊อดในความหนาแน่นที่เหมาะสม ตารางเมตรละ 1,000 ตัว
2. คัดขนาดทุกๆ 2-3 วันต่อครั้ง จนกระทั่งเป็นลูกกบแล้วอนุบาลให้ได้ขนาด 1-1.5 อัตราความหนาแน่นตารางเมตรละ 250 ตัวจากนั้นจึงปล่อยลูกกบลงเลี้ยงในอัตราตารางเมตรละ 100 ตัว
3. ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมอ และรักษาความสะอาดของบ่ออนุบาล

โรคติดเชื้อแบคทีเรียในระยะตัวเต็มวัย
อาการ มีลักษณะเป็นจุดแดงๆ ตามขาและผิวตัว โดยเฉพาะด้านท้องจนถึงแผลเน่าเปื่อยบริเวณปาก ลำตัวและขา ตับมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีจุดสีเหลืองซ้อนๆ กระจายอยู่ทั่วไป ไตขยายใหญ่ บางครั้งพบตุ่มสีขาวกระจายอยู่
สาเหตุของโรค สภาพบ่อสกปรกมาก
การรักษา ออกซีเตตร้าซัยคลินผสมอาหารให้กบกินในอัตรา 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัมต่อวันกินติดต่อกันจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือให้กินไม่น้อยกว่าครั้งละ 5-7 วัน

โรคที่เกิดจากโปรโตซัวในทางเดินอาหารอาการ กบไม่ค่อยกินอาหาร ผอมตัวซีด
สาเหตุของโรค โปรโตซัวในกลุ่ม Opalina sp. และ Balantidium sp.
การรักษา ใช้ยา Metronidazole ผสมอาหารให้กินในอัตรา 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกกรัม กินติดต่อกันครั้งละ 3 วัน และเว้นระยะ 3-4 วัน แล้วให้ยาซ้ำอีก 2-3 ครั้ง หรือจนกว่ากบจะมีอาการดีขึ้น และกินอาหารตามปกติ

โรคกบขาแดงอาการ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวหนังสีผิดปกติ เสียการทรงตัว มีจุดเลือดออกตามตัว และมีแผลเกิดขึ้นชักขากระตุกและมีผื่นแดงบริเวณโคนขาหลัง เม็ดเลือดมีอาการของโลหิตจางเลือดแข็งตัวช้า และมีเลือดออกบริเวณอวัยวะภายใน
สาเหตุของโรค การติดเชื้อ bact. A. hydrophila, Haemophilus piscium
การรักษา เตรทตร้าไซคลิน 50-100 mg/น้ำหนักกบ 1 กิโลกรัม (ป้อน) อาจผสมอาหารหรือแช่ก็ได้ (ปริมาณเพิ่มขึ้น)
1. การรักษาความสะอาด
2. ฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ และแยกออกจากกัน
3. น้ำ ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน 0.5-1 ppm.

โรคตาขาว คอเอียง กระแตเวียน บวมน้ำ
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ฟลาโวแบคทีเรียม เมนิงโกเซพติคุ่ม (Flavobacterium meningosepticum)
อาการและรอยโรค ลักษณะตาขาว ขุ่น บอด เกิดการอักเสบที่ตา มีหนองในช่องหน้าตา มีอาการทางประสาทโดยกบจะนอนหงายท้อง แสดงอาการควงสว่าน คอเอียง กบบางตัวจะบวมน้ำ พบน้ำคั่งใต้ผิวหนังและมีน้ำในช่องท้อง
การรักษาทางวิชาการ การรักษาโรคนี้มักไม่ค่อยได้ผล โดยเฉพาะในตัวที่ป่วยหนัก ทำได้โดยลดความรุนแรงของโรค โดยแยกตัวป่วยออกและฆ่าเชื้อโรคในบ่อ หรือใช้ยาฆ่าเชื้อ เช่น ไอโอดีน เป็นต้น หรือ อาจใช้ด่างทับทิม 5-8 กรัม/น้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร สาดให้ทั่วบ่อติดต่อกัน 3 วัน และผสมยาปฏิชีวนะ เช่น เอนโรฟ ล็อคซาซินกับอาหารเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกบที่เหลือ นอกจากนี้แล้วจะต้อง แยกกบให้ปริมาณน้อยลงจากเดิม
การรักษาที่แนะนำ ไม่ต้องรักษาให้เปลืองยา เพราะมักจะไม่หาย ต้องยอมขาดทุนบ้าง อย่าเสียดาย โดยให้นำกบทุกตัวในฟาร์มของท่านที่ติดโรคแล้วไปทำลายทิ้ง จากนั้นให้หยุดเลี้ยงเพื่อตากบ่อไว้สัก 1 เดือน แล้วจึงเริ่มต้นเลี้ยงใหม่อีกครั้งจึงจะช่วยได้ดี หรือส่งกบที่เป็นโรคไปตรวจเชื้อ ปรึกษาแพทย์เพื่อขอตัวยามารักษาตามอาการ ป้องกันการดื้อยา แบบนี้ดีที่สุดครับ โอกาสรักษาหายจะมีเพิ่มขึ้น
การป้องกัน ไม่เลี้ยงกบหนาแน่นเกินไป มีการพักน้ำและฆ่าเชื้อโรคในน้ำ ก่อนนำมาใช้ด้วยคลอรีน เปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมอ

ข้อมูลข้างบนนั้นเป็นแนวเชิงวิชาการมากไปหน่อย อย่าไปดูมากครับปวดหัวเกินไป เอาเป็นว่าให้ไปที่ร้านค้าเกษตรแถวบ้านท่านแล้วลองถามดูว่ามียารักษาโรคกบขายหรือไม่ก็พอครับ ถ้ามีก็ลองอ่านๆดูครับโดยสังเกตตรงส่วนประกอบของตัวยานะครับ ซึ่งถ้ามีตัวยาตัวใดตัวหนึ่งชื่อเดียวกันกับที่ผมบอกไว้ด้านบนแสดงว่าเราจะนำมาใช้รักษาโรคกบโรคนั้นๆได้นะครับ

จำหน่าย ยารักษาโรคกบและอาหารเสริมกบ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่หน้าจำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงกบ เช่น
- อาหารเสริม เพื่อบำรุงระบบสืบพันธุ์พ่อแม่พันธุ์กบ
- ยารักษาโรคกบ ท้องอืด บวมน้ำ
- ยารักษาโรคกบ ขาแดง
- ยาป้องกัน และ รักษาโรคกบ ตาขาว ตาขุ่น ติดเชื้อ คอเอียง กระแตเวียน หรือ เป็นแผล
- EM หมัก ช่วยลดการเกิดน้ำเน่าเสีย หรือยืดระยะเวลาการถ่ายน้ำได้

พันธุ์กบ
พันธุ์กบที่เหมาะสม คือ กบนา ที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีสีเหลือง มีอัตราการเจริญเติบโตดี
ลักษณะกบพ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมผสมพันธุ์
• ตัวผู้ มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย มีถุงเสียงใต้คาง สีสันบนตัวจะเหลืองกว่าตัวเมีย
• ตัวเมีย มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ไม่มีถุงเสียงใต้คาง ตัวเมียที่ไข่แก่ท้องจะโป่งนูนเห็นได้ชัด
• แม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป และไข่จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่ออายุ 1 ปี โดยมีน้ำหนักตัว 330 กรัม ขึ้นไป หรือขนาด 3 ตัวต่อกิโลกรัม ไข่ต้องแก่จัด มีสีดำ ข้างลำตัวทั้งสองด้านเมื่อเอามือลูบจะสาก ท้องค่อนข้างใหญ่
• พ่อพันธุ์ จะมีขนาดเล็กกว่าแม่พันธุ์ ควรมีอายุ 8 เดือน ขึ้นไป โดยมีน้ำหนักตัว 200-250 กรัม หรือ 4-5 ตัวต่อกิโลกรัม จะต้องคึก ดูได้จากเมื่อสอดนิ้วมือเข้าระหว่างขาหน้าทั้งสอง พ่อพันธุ์จะรัดแน่น
การเลี้ยงและการจัดการกบพ่อแม่พันธุ์
• บ่อที่ใช้เลี้ยงเป็นบ่อสี่เหลี่ยมขนาด 1×1 , 2×2 , 2×3 เมตร สูง 1.2 เมตร หรือบ่อซีเมนต์กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 หรือ 1.5 เมตร มีวัสดุปิดด้านบน เช่น กระเบื้องมุงหลังคา เพื่อป้องกันไม่ให้กบตกใจ เครียดหรือโดนแดด ในขณะเดียวกันก็สามารถเปิดให้ได้รับแสงแดดได้บ้าง
• ต้องเลี้ยงแยกเพศ แบ่งเป็นบ่อแม่พันธุ์และบ่อพ่อพันธุ์ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จึงนำมารวมกันเพื่อให้จับคู่
• ไม่ควรเลี้ยงกบหนาแน่นเกินไป อัตราการปล่อยที่เหมาะสม คือ 40 ตัวต่อตารางเมตร
• มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำสม่ำเสมอ และควบคุมไม่ให้น้ำเสีย
• ให้อาหารวันละ 1 – 2 ครั้ง เมื่อใกล้ฤดูผสมพันธุ์ให้ลดปริมาณอาหารลง มิฉะนั้นกบจะอ้วนมีแต่ไขมัน ไม่มีไข่
• มีการให้วิตามินและแร่ธาตุผสมอาหารเพื่อบำรุงระบบสืบพันธุ์
บ่อที่ใช้ผสมพันธุ์และเลี้ยงกบ
• โดยทั่วไปแล้วบ่อเลี้ยงกบจะเป็นบ่อเอนกประสงค์ คือ ใช้ตั้งแต่ผสมพันธุ์ อนุบาลลูกอ๊อด อนุบาลลูกกบ จนถึงเลี้ยงกบขุนหรือกบเนื้อ
• บ่อเลี้ยงกบ มักเป็นบ่อซีเมนต์ มีหลายรูปแบบ เช่น ปูกระเบื้อง ทาสีเหลือง บ่อมีหลายขนาด เช่น 3×4 , 3.2×4 , 4×4 , 4×5 , 4×6 เมตร สูง 1.2 เมตร ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ แต่ที่นิยมคือ 3×4 เมตร
• บ่อเลี้ยงจะมีการเทคานและใช้อิฐบล็อค 4 – 6 ก้อนก่อเป็นผนัง พื้นบ่อมีการเทปูนหนาพอสมควรเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ด้านในของบ่อทั้ง 4 ด้าน จะฉาบผิวสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร
• บ่อที่ใช้ผสมพันธุ์และอนุบาลลูกอ๊อด มักจะสร้างโดยมีเกาะตรงกลาง ซึ่งสูงประมาณ 1 คืบ และมีน้ำล้อมรอบด้านข้างทั้ง 4 ด้าน พื้นบ่อที่ในส่วนที่มีน้ำล้อมรอบจะลาดเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อสะดวกในการถ่ายเทน้ำ มีท่อระบายน้ำในส่วนที่ลาดที่สุด โดยมีท่อพลาสติกสวมตรงรูระบายน้ำหรือมีตะแกรงครอบตรงรูระบายน้ำ มีการฝังท่อจากรูระบายน้ำไปยังด้านข้างของบ่อเพื่อระบายน้ำทิ้ง และนำท่อพลาสติกงอมาสวมท่อที่ยื่นออกมา แล้วใช้ท่อพลาสติกตรงมาต่ออีกครั้งหนึ่ง
• บางพื้นที่บ่อกบที่ใช้ผสมพันธุ์ อนุบาลและเลี้ยงเป็นกบขุน พื้นบ่อจะเรียบและเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง มีการปูกระเบื้อง และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดที่สุด โดยช่วงลูกอ๊อดหางหดจะลดระดับน้ำลงและหาวัสดุที่ให้ลูกอ๊อดขึ้นไปอยู่ เช่น โฟม แผ่นพลาสติก ไม้ไผ่ ทางมะพร้าว เป็นต้น หรืออาจจะช้อนลูกกบที่ขึ้นแพแล้วไปเลี้ยงในบ่ออื่นที่เตรียมไว้สำหรับอนุบาลลูกกบโดยเฉพาะก็ได้
• บ่อกบควรตั้งอยู่กลางแจ้ง มีแสลนกรองแสงทำเป็นหลังคาและกันแดด รวมทั้งมีตาข่ายกันนกหรือศัตรูที่จะเข้ามาจับกินกบ ป้องกันกบตกใจ
การเพาะพันธุ์
• ล้างบ่อให้สะอาดที่สุด แล้วเติมน้ำในบ่อเพาะพันธุ์ ให้ได้ระดับ 5-7 เซนติเมตรหรือท่วมหลังกบ
• ใส่พืชน้ำ หรือหญ้า ลงไป ก่อนใส่ต้องนำมาทำความสะอาดด้วยด่างทับทิมก่อน
• นำกบตัวผู้และตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์ปล่อยลงในบ่อเพาะพันธุ์ช่วงเย็นเพื่อให้กบเลือกคู่กัน โดยบ่อขนาด 3×4 เมตร สูง 1.2 เมตร จะปล่อยพ่อแม่พันธุ์ 4-5 คู่
• ในการผสมพันธุ์กบตัวผู้จะไล่เวียนกบตัวเมีย แล้วใช้ขาหน้าโอบรัดตัวเมีย ทางด้านหลัง เพื่อรีดให้ไข่ออกมา ขณะเดียวกันตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมทันที
• โดยปกติกบจะผสมพันธุ์ในตอนกลางคืน รุ่งเช้าให้นำพ่อแม่พันธุ์ออกจากบ่อ ปล่อยให้ไข่ฟักออกมาเป็นตัว ซึ่งจะให้เวลา 18-36 ชม. แล้วรอจนไข่แดงหมดค่อยให้อาหารผงลูกอ๊อด หรือไข่ตุ๋น ก็ได้ จนอายุประมาณ 7 – 10 วันเริ่มให้อาหารเม็ดโฟมลอยน้ำให้กินต่อไปจนเป็นลูกกบเล็ก(หางหด)
• หลังจากผสมพันธุ์แล้วจะต้องเพิ่มระดับน้ำวันละ 5-7 เซนติเมตร จนสูง 30 เซนติเมตร เมื่อลูกอ๊อดหางหดจึงค่อยลดระดับน้ำลง
• ช่วงลูกอ๊อดบอายุ 20-30 วัน ต้องหาไม้กระดาน โฟม แผ่นพลาสติกลอยน้ำ ให้ลูกกบขึ้นไปอยู่
• ไข่ที่ฟักออกมาจะเจริญเติบโตเป็นลูกอ๊อด และพัฒนาเป็นลูกกบเล็กใช้เวลาประมาณ 30-36 วัน หรือ ประมาณ 1 เดือนเศษ
• ถ้าลูกอ๊อดตัวใดโตไว ต้องขยันคัดขนาดไปเลี้ยงแยกในบ่ออนุบาล เพื่อป้องกันลูกอ๊อดกัดกินขาลูกกบเล็ก หรือกัดกินกันเอง
แนวคิดและข้อแนะนำในการเพาะพันธุ์
• ในการเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดช่วง 2 – 7 วัน ต้องหมั่นสังเกตุว่าน้ำจะเน่าเสียหรือไม่ ต้องใส่ใจอย่างมาก หรือมีเวลาอย่างเพียงพอในการอนุบาลลูกอ๊อดทั้งวัน
• ในการเพาะเลี้ยงลูกอ๊อด ห้ามปล่อยให้น้ำเน่าเสียเด็ดขาด เพราะลูกอ๊อดจะตายยกบ่อได้ภายใน 8 ชม. หากน้ำเน่าแล้วจะยากที่จะช่วยให้ลูกอ๊อดมีชีวิตรอดได้อีก
• ในการเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดครั้งแรกๆ ผู้เพาะมักจะทำไม่สำเร็จ ลูกอ๊อดอาจจะตายยกคอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ให้ค่อยๆหาสาเหตุว่าเกิดจากสิ่งใด และแก้ไขไปทีละอย่างจนหมด เพราะสภาพแวดล้อมในแต่ละจุดที่ใช้เพาะแตกต่างกัน จึงต้องดูให้เหมาะสมกับพื้นที่ของเรา อย่าเชื่อผู้อื่นมาก ให้ทดลองเองดีที่สุดครับ แล้วท่านจะเพาะได้สำเร็จในที่สุด
• อย่าใจร้อนให้ทดลองเพาะครั้งละน้อยๆ เพื่อศึกษาวิธีการอนุบาลจริง ให้เข้าใจและเหมาะสมกับพื้นที่ของท่าน ก่อนเพาะเป็นจำนวนมากๆ
• สำหรับผู้ที่จะเลี้ยงกบเพื่อเป็นอาชีพเสริม(เลี้ยงไม่เกินครั้งละ 5,000 ตัว) ให้เริ่มเลี้ยงช่วงปลายเดือนกันยายน ของทุกปี โดยซื้อลูกพันธุ์กบมาเลี้ยง จะสะดวกและคุ้มค่ากว่าการเลี้ยงพ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ ไว้เพาะเอง เพราะไม่ต้องเสียเวลาดูแลพ่อแม่พันธุ์และไม่ต้องยุ่งยากในช่วงอนุบาลลูกอ๊อด
• ปกติการเพาะพันธุ์จำทำสำเร็จได้ง่ายในช่วงต้นฤดูฝน ถ้าปลายๆหรือต้นฤดูหนาวจะเพาะยากขึ้น จึงควรวางแผนให้ดีก่อนเพาะพันธุ์
ข้อสำคัญ พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ ของท่านจะต้องแข็งแรง ไม่อมโรค มิฉะนั้น เพาะพันธุ์ไปก็เสียเวลาครับ โอกาสรอดน้อยมากๆ


ต้นทุนการเพาะพันธุ์กบ เพื่อตัดสินใจว่า เพาะลูกกบไว้เลี้ยงเอง จะคุ้มค่ากว่าซื้อลูกพันธุ์กบที่อื่นมาเลี้ยง หรือไม่?
1. ต้นทุน พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ คู่ละ 350 – 700 บาท ตามขนาด อายุและฤดูกาล
(กบ 1 คู่ ไข่เฉลี่ย 1,000 ฟอง/ครั้ง ออกเป็นลูกอ๊อดเฉลี่ย 800 ตัว เลี้ยงรอดเป็นลูกกบเฉลี่ย 600 ตัว ถ้าท่านทำอย่างชำนาญแล้วนะครับ)
2. ต้นทุน สร้างสถานที่ใช้เลี้ยง พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ แบบแยกเพศ อย่างน้อยใช้บ่อปูนจำนวน 2 บ่อ
3. ต้นทุน ค่าอาหาร พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ ที่ต้องกินทุกวัน นอกจากนั้นยังต้องให้อาหารเสริมบำรุงระบบสืบพันธุ์อีกด้วย
4. ต้นทุน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเวลา ดูแลถ่ายน้ำ พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ
5. ต้นทุน กรณีเลี้ยงไม่ดี ทำให้ พ่อพันธุ์กบ แม่พันธุ์กบ ตาย หรือไม่ยอมออกไข่ หรือที่แย่ที่สุดคือ พ่อแม่พันธุ์ติดโรค ซึ่งจะต้องนำไปทำลายทิ้งทั้งหมด แล้วเริ่มต้นหาซื้อพ่อแม่พันธุ์กบมาใหม่ทั้งหมด ดังนั้น หากต้องการมีพ่อแม่พันธุ์สัก 200 คู่ จะต้องใช้เงินทุนอย่างน้อย 70,000 บาท เป็นต้น
6. ต้นทุน บ่อปูนสำหรับใช้เพาะพันธุ์ ตามวิธีด้านบน
7. ต้นทุน ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเวลา ดูแลถ่ายน้ำ ลูกอ๊อดเล็ก อายุ 2 – 25 วัน มักต้องถ่ายน้ำทุกๆวัน ต้องเฝ้าให้อาหาร และสังเกตอาการต่างๆ ตลอดทั้งวัน จนกว่าจะเริ่มมีขาและเป็นตัวลูกกบเล็ก
8. ต้นทุน การนั่งคัดขนาดลูกอ๊อดและลูกกบเล็ก เพื่อนำไปอนุบาลแยกตามขนาด ป้องกันลูกกบกัดกินกันเอง จนเกิดบาดแผล หรือตายได้

ฉะนั้น จงใตร่ตรองดูก่อนว่าการเพาะพันธุ์กบเลี้ยงเอง กับการซื้อลูกพันธุ์กบครั้งละไม่ถึงหมื่นตัว อย่างใดเหมาะสมกับท่านที่สุด

2 ความคิดเห็น: